วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชีวิต ในอนาคต


คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก

คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก


คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกมีชื่อว่าเครื่อง ENIAC พัฒนาขึ้นมาโดยสหรัฐฯเมื่อปี 1946 ENIAC ย่อมาจาก Electronics Numerical Integrator and Computer ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย ดร.จอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ภายใต้การสนับสนุนเงินทุนจากกองทัพสหรับอเมริกา ซึ่งต้องการสร้างระบบคำนวณวิถีกระสุนปืนใหญ่
ENIAC คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก

เครื่อง ENIAC เป็นเครื่องคำนวณทางอิเลคโทรนิกส์เครื่องแรกที่ได้รับการยอมรับว่ามันคือ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก สร้างขึ้นจากหลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีขนาดใหญ่มาก ต้องใช้พื้นที่วางระบบถึง 15,000 ตารางฟุต หนักร่วม 30 ตัน กินไฟ 140 กิโลวัตต์ (ในขณะที่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในปัจจุบันกินไฟราว 500 วัตต์) เครื่อง ENIAC นี้สร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของเครื่อง ABC (Atanasoff-Berry Computer) ซึ่งผลิตโดย Dr. John Vincent Atanasoff และ Clifford Berry
จะเห็นได้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกมีขนาดใหญ่เท่าห้องประชุมขนาด ใหญ่ทั้งห้อง น้ำหนักเท่ากับช้างที่โตเต็มที่ 5-6 ตัว แต่ด้วยจุดเริ่มต้นตรงนั้น ทำให้ปัจจุบันเรามีคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงขึ้นนับล้านเท่า แต่ขนาดและน้ำหนักเล็กลงนับล้านเท่าเช่นกัน

ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาคุกคามระบบได้อย่างไร

ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาคุกคามระบบได้อย่างไร

          โดยปกติแล้วไวรัสคอมพิวเตอร์เข้าคุมคามระบบได้เนื่องจากสาเหตุหลักๆ 3 ประการ คือ
          1) มีการเรียกใช้งานไฟล์ที่มีไวรัสคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่
                ในส่วนของสาเหตุจากการที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เรียกใ ช้งานไฟล์ที่ มีไวรัสคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่ แล้วทำให้ระบบถูกไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาคุก คาม
          ได้นั้นเป็นสาเหตุซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี   นอกจากการฝังตัวอยู่กับไฟล์ของผู้ใช้งานซึ่งเป็นรูปแบบของไวรัส คอมพิวเตอร์แบบยุคต้นๆ แล้วนั้น    ในปัจจุบัน
          ไวรัสคอมพิวเตอร์มักจะใช้หลักจิตวิทยาที่เรียกว่า  Social Engineering   เพื่อทำการล่อลวงให้ผู้ใช้งานเรียกเปิดไฟล์ที่เป็นไวรัส  เช่น แฝงมาใน
          รูปแบบของโปรแกรมการ์ดอวยพร หรือ โปรแกรม screen saver หรือ แฝงอยู่ในไฟล์ที่ได้รับมาจากบุคคลที่ผู้ใช้รู้จัก  ซึ่งผู้ใช้อาจจะได้รับมาทาง
          อี-เมล์ที่มีการปลอมแปลงว่ามาจากบุคคลที่ผู้ใช้รู้จัก  หรือไวรัส อาจแฝงอยู่ในรูปแบบของ link ในอี-เมล์หรือเว็บไซต์ต่างๆ  ที่หลอกลวงให้ผู้ใช้ click
          เพื่อเรียกใช้งาน เป็นต้น

          2) ระบบที่ไม่มีการใช้งานโปรแกรม Anti-Virus หรือมีการใช้งานโปรแกรม Anti-Virus แต่ไม่ได้ทำการ Update
            ฐานข้อมูลไวรัส
            
สำหรับสาเหตุหลักอีกสาเหตุหนึ่งของการที่ระบบถูกไวรัสคอมพิวเตอร์คุกคาม คือการที่ระบบไม่มีการใช้งานโปรแกรม  Anti-Virus  หรือมีการ
          โปรแกรม Anti-Virus แต่ไม่ได้ทำการ update ฐานข้อมูลไวรัสให้ทันสมัยอยู่เสมอ      ซอฟต์แวร์   Anti-Virus  ส่วนใหญ่จะสามารถต่อต้านการ
          จากไวรัสคอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมรู้จักซึ่งจะได้รับการจัดเก็บอยู่ ในฐานข้อมูลไวรัสคอมพิวเตอร์  (Virus Definition Database)          ซึ่งจำเป็น
          ต้องมีการ Update ฐานข้อมูลดังกล่าวนี้ให้ทันสมัยอยู่เสมอเพื่อให้โปรแกรมรู้จักและสามารถต่อ ต้านไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวใหม่ๆ ได้   บางท่านอาจมี
          ความเชื่อที่ผิดๆ ว่าหากมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ Anti-virus บนระบบแล้วไวรัสคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถเข้ามาคุกคามระบบได้ ในความเป็นจริงแล้ว
          ถึงแม้ระบบจะมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าวอยู่ แต่หากไม่มีการ update ฐานข้อมูลไวรัสให้ทันสมัยอยู่เสมอ            หรือไม่มีการใช้งานซอฟต์แวร์
          Anti-Virus เพื่อตรวจสอบโดยละเอียดว่าระบบปราศจากไวรัสคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอแล้ว นั้น   ไวรัสคอมพิวเตอร์ก็ยังอาจสามารถเข้ามาคุกคาม
          ระบบได้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ซอฟต์แวร์   Anti-Virus   จะได้รับการติดตั้งและใช้งานอย่างเหมาะสมทุกประการ แต่ระบบก็ยังอาจมีความเสี่ยงต่อการ
          ถูกคุมคามอยู่หากระบบมีช่องโหว่ ( Vulnerbilities) ซึ่งจะกล่าวถึงในช่วงต่อไป

          3) ระบบปฏิบัติการมีช่องโหว่ (Vulnerbilities) พร้อมทั้งมีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย               
                สำหรับสาเหตุในส่วนของการที่ระบบมีช่องโหว่นั้นยังไม่ค่อย เป็นที่เข้าใจและตระหนักถึงกันอย่างถ่องแท้มากนัก                       ในความเป็นจริง
          ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่บนระบบมักจะมีช่องโหว่ อยู่ทั้งสิ้น ซึ่งมักจะมีผู้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ๆ ของระบบอยู่เรื่อยๆ     อย่างต่อเนื่อง
          ช่องโหว่ (vulnerbilities) มีความหมายคล้ายๆ กับ จุดบกพร่อง ( Bugs) ของระบบ         โดยรวมๆ ช่องโหว่หมายถึงการที่ระบบมีช่องทางให้ผู้
          โจมตีสามารถเข้ามาครอบครอง ควบคุมการทำงาน นำไวรัสคอมพิวเตอร์มาเรียกใช้งาน หรือ ทำการบางอย่างบนระบบได้     ในกรณีที่ท่านใช้ระบบ
          ปฏิบัติการ Microsoft Windows ท่านสามารถตรวจสอบว่าระบบของท่านมีช่องโหว่อะไรบ้างได้โดยการเรียกใช้งาน      Windows Update
          หรือ browse ไปที่ http://windowsupdate.microsoft.com/ ท่านอาจพบว่าระบบของท่านมีช่องโหว่ที่ร้ายแรงมากมาย        ซึ่งช่องโหว่
          เหล่านี้เป็นช่องทางให้ไวรัสคอมพิวเตอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถเข้ามาในระบบของท่านผ่านเครือข่ายได้          การที่ระบบมีช่องโหว่เป็นสาเหตุ
          ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่า "อยู่ดีๆ ก็ติดไวรัส" นั่นเอง       นอกจากนี้การใช้งานระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ในบางลักษณะก็ทำให้เกิดช่อง
          โหว่ได้ เช่น การให้โปรแกรมเปิดอ่านอี-เมล์และไฟล์ที่แนบมาโดยอัตโนมัติ การอนุญาตให้บุคคลอื่นนำไฟล์มาติดตั้งบนระบบได้
          (Full-Right File Sharing) เป็นต้น

ชื้อโรคที่มาจากเครื่องใช้ IT

ชื้อโรคที่มาจากเครื่องใช้ IT



การใช้ชีวิตในปัจจุบันของเรานั้นมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ IT อาทิ โน้ตบุ๊ก แล๊ปท๊อป คอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนประกอบของอุปกรณ์ทั้ง คีย์บอร์ดและเม้าส์ ล้วนสัมผัสโดยตรงกับตัวผู้ใช้ แล้วอุปกรณ์เหล่านี้นี่เองที่เป็นประตูของเชื้อโรคสู่ร่างกาย

หมอซุปเชื่อครับว่า ตั้งแต่เริ่มใช้อุปกรณ์เหล่านี้คงนับคนได้เลยที่จะมีการทำความสะอาดหรือฆ่า เชื้อโรคหน้าสัมผัสของอุปกรณ์เหล่านี้ และจนถึงวาระสุดท้ายของเครื่องมือเหล่านี้ ไม่ว่าจะล้าสมัย หรือ เสียหายคามือ ก็ยังไม่เคยได้ลิ้มรสความสะอาดเลย

ประเด็นที่หมอซุปอยากจะกระตุ้นเตือนบรรดาผู้ใช้งานคือ ให้ระมัดระวังเรื่องความสะอาด รวมไปถึงการปนเปื้อนของเชื้อโรค ซึ่งการใช้มือ นิ้วมือแตะสัมผัสกับคีย์บอร์ด กุมเม้าส์ เพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์นั้นย่อมได้รับเชื้อโรค สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งานส่วนบุคคลก็อาจจะพอควบคุมความสะอาดได้บ้าง แต่อุปกรณ์ที่มีการใช้งานอย่างสาธารณะโดยเฉพาะร้านอินเตอร์เน็ต จุดบริการอินเตอร์เน็ตที่สนามบิน โรงพยาบาล โรงแรม ฯลณ ที่ไม่มีการจำกัดผู้ใช้งานต้องระมัดระวังครับ

เชื้อโรคแฝงจากIT
เชื้อโรคที่ควรให้ความระมัดระวัง ก็คงหนีไม่พ้น 2 กลุ่มใหญ่ คือ แบคทีเรียและไวรัส ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ ก็ทำให้เจ็บป่วยได้อย่างรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยก็ว่าได้

แบคทีเรียที่ปนเปื้อนมักจะทำให้เกิดอาการ ไข้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ บางกรณีอาจจะรุนแรงกระทั่งถ่ายเป็นมูกเลือดเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้วอาการโรคอาหารเป็นพิษจากแบคทีเรียบางชนิดอาจจะทำให้เกิดอาการ ไตวายในเด็กได้ด้วย

ไวรัสที่ก่อโรค อาจจะแบ่งได้เป็นกลุ่มที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร เหมือนแบคทีเรีย ซึ่งพบว่าก่อโรคได้ทุกเพศ ทุกวัย และกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบ อย่างที่หมอซุปเคยเล่าให้ฟังกรณีของการปนเปื้อนน้ำทะเลครับ

ข้อแนะนำ: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคใน สถานการณ์ต่างๆ คือ การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่ผิวสัมผัสของคีย์บอร์ดและเม้าส์อย่างสม่ำ เสมอ ก่อนการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ ควรมีการล้างทำความสะอาดมือและนิ้วมือด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการใช้ห้องน้ำด้วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจจะมาจากทางเดินอาหารและปนเปื้อนไปสู่หน้าสัมผัส ของอุปกรณ์ ซึ่งเท่ากับเป็นการวางยา(เชื้อโรคที่ปนเปื้อน) ไปสู่ผู้ใช้งานคนถัดๆ ไป (หมายความว่า อาจจะมีเหยื่อมากกว่า 1ราย) แม้ว่าเชื้อโรคส่วนมากจะไม่สามารถเจริญเติบโตบนผิวสัมผัสเหล่านี้ได้ แต่เชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่อาจจะยังไม่ตาย เพียงแต่รอเวลาให้ผู้โชคร้ายรายต่อไป รับเอาเชื้อโรคเข้าสู่ทางเดินอาหาร แล้วก่อให้เกิดโรคต่อไป