วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

8 วิธีถนอมสายตาเมื่ออยู่หน้าคอม

8 วิธีถนอมสายตาเมื่ออยู่หน้าคอม


1. เลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา  วิธีทดสอบแบบง่ายๆ  ทำโดยการปิดสวิตช์ภาพ  แล้วเอาหรือแขนไปจ่อไว้ไกล้ๆ  จอภาพให้มากที่สุด  ซึ่งจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่บริเวณ ผิวเลย
2. ปรับแสงและความคมชัดหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตาให้มากที่สุด  รวมทั้งความสว่างภายในห้องเราด้วย  เพราะหากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า  และจอภาพมีความสว่างมาก  ก็ยิ่งสงผลเสียต่ดวงตาได้ง่ายขึ้น
3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาพอประมาณ  18-24 นิ้วหรือประมาณช่วงแขนเอื้อม  และปรับระดับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา  ซึ่งหากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กันอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า และปวดตาได้ง่าย
4. ควรใส่แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์  เพื่อเป็นการช่วยกระจายรังสีจากคอมพิวเตอร์สู่สายตา  ที่สำคัญควรเลือกแบที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้
5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ  เพราะฝุ่นละอองอาจะทำให้เกิดการสะท้อนมากยิ่งขึ้น
6. การหยุดพักหรือการเปลี่ยนแปลงตารางการทำงานซะใหม่  จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องหรือเพ่งคอมพิวเตอร์ได้  เช่น  หยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาที  ทุกๆ 2 ชั่วโมง  แล้วค่อยเริ่มการทำงานต่อไป  ก็จะช่วยให้ถนอมสายตาได้
7. ใช้ผ้าซุปน้ำหมาดๆ  วางไว้บนเปลือกตา  และหลับตาสัก 2-3 นาที  หรือจะให้ดีกว่านั้น  ปิดไฟ  นอนพะสักครู่  เพื่อเป็นการซาร์ตพลังงายให้กลับสายตามาแข็งแรงอีกครั้ง
8.สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์  แจจะเกิดการตาแห้งเพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นห้องห้องแอร์  เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์    จะทำให้อากาศแห้ง  การหยดน้ำตาเทียมก็จะช่วยให้ตากลับมาสดชื่นอีกครั้งได้
***ตะบองเพชรช่วยได้
ลองหากระถางกระบองเพชรต้นเล็กๆ  มาวางใกล้ๆ  กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูสิ  เพราะกระบองเพชรมีความสามรถดูดซับสังสี  ได้เป็นอย่างดี

5 ปัญหาเน็ตหลุด สะดุดที่ตรงไหน ตรวจสอบได้ด้วยตัวคุณเอง

5 ปัญหาเน็ตหลุด สะดุดที่ตรงไหน ตรวจสอบได้ด้วยตัวคุณเอง
ครั้งก่อนทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip ได้นำเสนอบทความเรื่อง "5 วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มสัญญาณ Wi-Fi ในบ้านของคุณ" มาวันนี้ เรามีบทความเกี่ยวกับปัญหาการใช้อินเทอร์เน็ตที่พบกับคุณผู้อ่านได้ทุกท่าน นั่นก็คือ ปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet connection problem) ที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับผู้ใช้ได้เสมอ

แทนที่เอะอะอะไรก็จะใช้วิธีกดปุ่ม F5 เพื่อรีเฟรชบราวเซอร์ให้โหลดหน้าเว็บที่อยู่ดีๆ โหลดไม่ขึ้นซะงั้น ซึ่งบางทีปัญหามันไม่ใช่แค่ที่คุณเห็น เพราะการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าสู่ อินเทอร์เน็ตไม่ได้มีแค่การต่อสายอีเธอร์เน็ต หรือเปิดสวิตช์ Wireless บนโน้ตบุ๊ก แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย บทความนี้จะแนะนำการตรวจสอบต้นตอของปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในระหว่าง ที่ใช้งาน เพื่อหาสาเหตุ และแก้ไขได้อย่างถูกต้อง แน่นอนว่า สิ่งแรกที่คุณต้องเช็คก่อนเลย เวลาที่เน็ตใช้การไม่ได้ คือ การเชื่อมต่อของฮาร์ดแวร์ เริ่มต้นที่สายเคเบิ้ลที่ต่อกับคอมพ์ ไปจนถึงปลั๊กเสียบเราท์เตอร์ที่ใครอาจเผลอไปเตะมันหลุดแล้วคุณไม่รู้ หรือมี มือดีไปปิดสวิทช์เพราะเห็นมันเปิดนานแล้ว - -" หากการเชื่อมต่อเน็ตของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ปกติดีแล้ว ไม่มีหลุด หรือปิดสวิตช์ แต่อย่างใด ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการตรวจสอบปัญหาการเชื่อมต่อ ซึ่งมีคำสั่ง และวิธีการที่น่าสนใจดังนี้
Ping ดูว่า"เน็ต"ยังอยู่หรือไม่? หากการเชื่อมต่อ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ขั้นตอนต่อมาก็คือ การตรวจสอบการเชื่อมต่อของเน็ตจากบ้านคุณด้วยคำสั่ง Ping เริ่มต้นด้วยการเปิดหน้าต่าง command คลิกปุ่ม Start พิมพ์ cmd แล้วกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด จากนั้นในหน้าต่าง cmd พิมพ์คำสั่ง ping ตามด้วยชื่อเว็บไซต์่ อย่างเช่น ping arip.co.th หรือ ping google.com เป็นต้น

คำสั่งนี้จะเป็นการบอกให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเน็ตทดลองส่ง แพ็คเก็ตของข้อมูล ไปยังแอดเดรสของเว็บไซต์ที่คุณระบุ ซึ่งทางเว็บเซิร์ฟเวอร์ของ arip หรือ google ก็จะตอบสนองแต่ละแพคเก็ตของข้อมูลที่มันได้รับ โดยจากในภาพข้างบนนี่้จะเเห็นว่า ทุกอย่างทำงานปกติ แพคเก็ตที่รับไม่ได้ (packet loss) มี 0% ในขณะที่เวลาตอบสนองแต่ละแพคเก็ต (time=?ms) ค่อนข้างต่ำ
หากคุณผู้อ่านใช้คำสั่ง Ping แล้วพบว่า packet loss ไม่ใช่  0% ซึ่งหมายถึง เว็บเซิร์ฟเวอร์ที่คุณติดต่อเข้าไปไม่ตอบสนองแพ็คเก็ตใด แพ็คเก็ตหนึ่งที่ถูกส่งไป นั่นหมายความว่า มันมีปัญหาการเชื่อมต่อกับเน็ตอย่างไม่ต้องสงสัย หรือบางทีเว็บเซิร์ฟเวอร์ใช้เวลาตอบสนองช้ามาก นี่ก็เป็นปัญหาการเชื่อมต่อเหมือนกัน นอกจากนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเกิดกับเว็บไซต์บางแห่งเท่านั้น (จากในรูปจะเห็นว่า คำสั่ง ping microsoft.com เว็บเซิร์ฟเวอร์ของไมโครซอฟท์จะไม่ตอบสนองคำสั่งนี้ ในขณะที่การเชื่อมต่อไม่ได้มีปัญหา - -") หรือบางทีปัญหาอาจเกิดกับ ISP ทีคุณใช้บริการ (ลิงค์ขาด, ซ่อมบำรุง ฯลฯ) ลองโทรสอบถามทางผู้ให้บริการ หรือเกิดกับเครือข่ายในบ้านคุณเอง (เราท์เตอร์ ได้ลาจากโลกไปแล้ว ถึงจะต่อเคเบิ้ล ตรงๆ ก็ยังเข้าเน็ตไม่ได้อยู่ดี แต่เพื่อนข้างบ้านที่ใช้ ISP เดียวกัน ท่องเน็ตฉลุย)

เปิดไฟล์ไม่ได้ขึ้น Errors Message เตือนแก้ดังนี้

เปิดไฟล์ไม่ได้ขึ้น Errors Message เตือนแก้ดังนี้




   สวัสดีครับ บางครั้งที่เราต้องการจะเปิดไฟล์อะไรสักไฟล์ ก็ไม่สามารถเปิดได้ Windows มันจะฟ้อง Errors Message ขึ้นมาทันทีว่า

 "Windows cannot access the specified device, path, or file. You may not have the appropriate permissions to access the item." 

ความหมายของมัน ก็คือว่า ไฟล์อะไรก็แล้วแต่ที่คุณพยายามจะเปิด ไม่สามารถเข้าถึงได้ อันเนื่องมาจากติดสิทธิ์ผู้ใช้ หรือการอนุญาตนั่นเอง

สิทธิ์ที่ถูก ห้ามนั้นเกิดมาจากโปรแกรม Antivirus , Antispyware , Anti Keylogger หรืออื่นๆ ทำการบล็อกไฟล์นั้นไว้ ไม่ให้ถูกเรียกใช้งาน เพื่อป้องกันให้กับคอมพิวเตอร์ของเรา แต่บางทีไฟล์ที่ถูกบล็อกไว้นั้น ก็ไม่ใช่ไฟล์ไวรัสอะไร แต่พวก Antivirus ก็จะป้องกันไว้ก่อน

ดังนั้นถ้าเราแน่ใจว่า ไฟล์ที่เรากำลังจะเปิดนั้น ไม่ใช่ไวรัส แน่นอน ก็ให้ทำการปิด Antivirus ที่มีก่อนให้หมด แล้วค่อยเปิดไฟล์ที่ถูกห้ามนั้นดู ทีนี้ก็จะสามารถเปิดได้แล้วครับ

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชีวิต ในอนาคต


คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก

คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก


คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกมีชื่อว่าเครื่อง ENIAC พัฒนาขึ้นมาโดยสหรัฐฯเมื่อปี 1946 ENIAC ย่อมาจาก Electronics Numerical Integrator and Computer ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย ดร.จอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ภายใต้การสนับสนุนเงินทุนจากกองทัพสหรับอเมริกา ซึ่งต้องการสร้างระบบคำนวณวิถีกระสุนปืนใหญ่
ENIAC คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก

เครื่อง ENIAC เป็นเครื่องคำนวณทางอิเลคโทรนิกส์เครื่องแรกที่ได้รับการยอมรับว่ามันคือ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก สร้างขึ้นจากหลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีขนาดใหญ่มาก ต้องใช้พื้นที่วางระบบถึง 15,000 ตารางฟุต หนักร่วม 30 ตัน กินไฟ 140 กิโลวัตต์ (ในขณะที่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในปัจจุบันกินไฟราว 500 วัตต์) เครื่อง ENIAC นี้สร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของเครื่อง ABC (Atanasoff-Berry Computer) ซึ่งผลิตโดย Dr. John Vincent Atanasoff และ Clifford Berry
จะเห็นได้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกมีขนาดใหญ่เท่าห้องประชุมขนาด ใหญ่ทั้งห้อง น้ำหนักเท่ากับช้างที่โตเต็มที่ 5-6 ตัว แต่ด้วยจุดเริ่มต้นตรงนั้น ทำให้ปัจจุบันเรามีคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงขึ้นนับล้านเท่า แต่ขนาดและน้ำหนักเล็กลงนับล้านเท่าเช่นกัน

ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาคุกคามระบบได้อย่างไร

ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาคุกคามระบบได้อย่างไร

          โดยปกติแล้วไวรัสคอมพิวเตอร์เข้าคุมคามระบบได้เนื่องจากสาเหตุหลักๆ 3 ประการ คือ
          1) มีการเรียกใช้งานไฟล์ที่มีไวรัสคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่
                ในส่วนของสาเหตุจากการที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เรียกใ ช้งานไฟล์ที่ มีไวรัสคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่ แล้วทำให้ระบบถูกไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาคุก คาม
          ได้นั้นเป็นสาเหตุซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี   นอกจากการฝังตัวอยู่กับไฟล์ของผู้ใช้งานซึ่งเป็นรูปแบบของไวรัส คอมพิวเตอร์แบบยุคต้นๆ แล้วนั้น    ในปัจจุบัน
          ไวรัสคอมพิวเตอร์มักจะใช้หลักจิตวิทยาที่เรียกว่า  Social Engineering   เพื่อทำการล่อลวงให้ผู้ใช้งานเรียกเปิดไฟล์ที่เป็นไวรัส  เช่น แฝงมาใน
          รูปแบบของโปรแกรมการ์ดอวยพร หรือ โปรแกรม screen saver หรือ แฝงอยู่ในไฟล์ที่ได้รับมาจากบุคคลที่ผู้ใช้รู้จัก  ซึ่งผู้ใช้อาจจะได้รับมาทาง
          อี-เมล์ที่มีการปลอมแปลงว่ามาจากบุคคลที่ผู้ใช้รู้จัก  หรือไวรัส อาจแฝงอยู่ในรูปแบบของ link ในอี-เมล์หรือเว็บไซต์ต่างๆ  ที่หลอกลวงให้ผู้ใช้ click
          เพื่อเรียกใช้งาน เป็นต้น

          2) ระบบที่ไม่มีการใช้งานโปรแกรม Anti-Virus หรือมีการใช้งานโปรแกรม Anti-Virus แต่ไม่ได้ทำการ Update
            ฐานข้อมูลไวรัส
            
สำหรับสาเหตุหลักอีกสาเหตุหนึ่งของการที่ระบบถูกไวรัสคอมพิวเตอร์คุกคาม คือการที่ระบบไม่มีการใช้งานโปรแกรม  Anti-Virus  หรือมีการ
          โปรแกรม Anti-Virus แต่ไม่ได้ทำการ update ฐานข้อมูลไวรัสให้ทันสมัยอยู่เสมอ      ซอฟต์แวร์   Anti-Virus  ส่วนใหญ่จะสามารถต่อต้านการ
          จากไวรัสคอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมรู้จักซึ่งจะได้รับการจัดเก็บอยู่ ในฐานข้อมูลไวรัสคอมพิวเตอร์  (Virus Definition Database)          ซึ่งจำเป็น
          ต้องมีการ Update ฐานข้อมูลดังกล่าวนี้ให้ทันสมัยอยู่เสมอเพื่อให้โปรแกรมรู้จักและสามารถต่อ ต้านไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวใหม่ๆ ได้   บางท่านอาจมี
          ความเชื่อที่ผิดๆ ว่าหากมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ Anti-virus บนระบบแล้วไวรัสคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถเข้ามาคุกคามระบบได้ ในความเป็นจริงแล้ว
          ถึงแม้ระบบจะมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าวอยู่ แต่หากไม่มีการ update ฐานข้อมูลไวรัสให้ทันสมัยอยู่เสมอ            หรือไม่มีการใช้งานซอฟต์แวร์
          Anti-Virus เพื่อตรวจสอบโดยละเอียดว่าระบบปราศจากไวรัสคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอแล้ว นั้น   ไวรัสคอมพิวเตอร์ก็ยังอาจสามารถเข้ามาคุกคาม
          ระบบได้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ซอฟต์แวร์   Anti-Virus   จะได้รับการติดตั้งและใช้งานอย่างเหมาะสมทุกประการ แต่ระบบก็ยังอาจมีความเสี่ยงต่อการ
          ถูกคุมคามอยู่หากระบบมีช่องโหว่ ( Vulnerbilities) ซึ่งจะกล่าวถึงในช่วงต่อไป

          3) ระบบปฏิบัติการมีช่องโหว่ (Vulnerbilities) พร้อมทั้งมีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย               
                สำหรับสาเหตุในส่วนของการที่ระบบมีช่องโหว่นั้นยังไม่ค่อย เป็นที่เข้าใจและตระหนักถึงกันอย่างถ่องแท้มากนัก                       ในความเป็นจริง
          ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่บนระบบมักจะมีช่องโหว่ อยู่ทั้งสิ้น ซึ่งมักจะมีผู้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ๆ ของระบบอยู่เรื่อยๆ     อย่างต่อเนื่อง
          ช่องโหว่ (vulnerbilities) มีความหมายคล้ายๆ กับ จุดบกพร่อง ( Bugs) ของระบบ         โดยรวมๆ ช่องโหว่หมายถึงการที่ระบบมีช่องทางให้ผู้
          โจมตีสามารถเข้ามาครอบครอง ควบคุมการทำงาน นำไวรัสคอมพิวเตอร์มาเรียกใช้งาน หรือ ทำการบางอย่างบนระบบได้     ในกรณีที่ท่านใช้ระบบ
          ปฏิบัติการ Microsoft Windows ท่านสามารถตรวจสอบว่าระบบของท่านมีช่องโหว่อะไรบ้างได้โดยการเรียกใช้งาน      Windows Update
          หรือ browse ไปที่ http://windowsupdate.microsoft.com/ ท่านอาจพบว่าระบบของท่านมีช่องโหว่ที่ร้ายแรงมากมาย        ซึ่งช่องโหว่
          เหล่านี้เป็นช่องทางให้ไวรัสคอมพิวเตอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถเข้ามาในระบบของท่านผ่านเครือข่ายได้          การที่ระบบมีช่องโหว่เป็นสาเหตุ
          ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่า "อยู่ดีๆ ก็ติดไวรัส" นั่นเอง       นอกจากนี้การใช้งานระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ในบางลักษณะก็ทำให้เกิดช่อง
          โหว่ได้ เช่น การให้โปรแกรมเปิดอ่านอี-เมล์และไฟล์ที่แนบมาโดยอัตโนมัติ การอนุญาตให้บุคคลอื่นนำไฟล์มาติดตั้งบนระบบได้
          (Full-Right File Sharing) เป็นต้น

ชื้อโรคที่มาจากเครื่องใช้ IT

ชื้อโรคที่มาจากเครื่องใช้ IT



การใช้ชีวิตในปัจจุบันของเรานั้นมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ IT อาทิ โน้ตบุ๊ก แล๊ปท๊อป คอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนประกอบของอุปกรณ์ทั้ง คีย์บอร์ดและเม้าส์ ล้วนสัมผัสโดยตรงกับตัวผู้ใช้ แล้วอุปกรณ์เหล่านี้นี่เองที่เป็นประตูของเชื้อโรคสู่ร่างกาย

หมอซุปเชื่อครับว่า ตั้งแต่เริ่มใช้อุปกรณ์เหล่านี้คงนับคนได้เลยที่จะมีการทำความสะอาดหรือฆ่า เชื้อโรคหน้าสัมผัสของอุปกรณ์เหล่านี้ และจนถึงวาระสุดท้ายของเครื่องมือเหล่านี้ ไม่ว่าจะล้าสมัย หรือ เสียหายคามือ ก็ยังไม่เคยได้ลิ้มรสความสะอาดเลย

ประเด็นที่หมอซุปอยากจะกระตุ้นเตือนบรรดาผู้ใช้งานคือ ให้ระมัดระวังเรื่องความสะอาด รวมไปถึงการปนเปื้อนของเชื้อโรค ซึ่งการใช้มือ นิ้วมือแตะสัมผัสกับคีย์บอร์ด กุมเม้าส์ เพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์นั้นย่อมได้รับเชื้อโรค สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งานส่วนบุคคลก็อาจจะพอควบคุมความสะอาดได้บ้าง แต่อุปกรณ์ที่มีการใช้งานอย่างสาธารณะโดยเฉพาะร้านอินเตอร์เน็ต จุดบริการอินเตอร์เน็ตที่สนามบิน โรงพยาบาล โรงแรม ฯลณ ที่ไม่มีการจำกัดผู้ใช้งานต้องระมัดระวังครับ

เชื้อโรคแฝงจากIT
เชื้อโรคที่ควรให้ความระมัดระวัง ก็คงหนีไม่พ้น 2 กลุ่มใหญ่ คือ แบคทีเรียและไวรัส ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ ก็ทำให้เจ็บป่วยได้อย่างรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยก็ว่าได้

แบคทีเรียที่ปนเปื้อนมักจะทำให้เกิดอาการ ไข้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ บางกรณีอาจจะรุนแรงกระทั่งถ่ายเป็นมูกเลือดเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้วอาการโรคอาหารเป็นพิษจากแบคทีเรียบางชนิดอาจจะทำให้เกิดอาการ ไตวายในเด็กได้ด้วย

ไวรัสที่ก่อโรค อาจจะแบ่งได้เป็นกลุ่มที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร เหมือนแบคทีเรีย ซึ่งพบว่าก่อโรคได้ทุกเพศ ทุกวัย และกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบ อย่างที่หมอซุปเคยเล่าให้ฟังกรณีของการปนเปื้อนน้ำทะเลครับ

ข้อแนะนำ: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคใน สถานการณ์ต่างๆ คือ การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่ผิวสัมผัสของคีย์บอร์ดและเม้าส์อย่างสม่ำ เสมอ ก่อนการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ ควรมีการล้างทำความสะอาดมือและนิ้วมือด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการใช้ห้องน้ำด้วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจจะมาจากทางเดินอาหารและปนเปื้อนไปสู่หน้าสัมผัส ของอุปกรณ์ ซึ่งเท่ากับเป็นการวางยา(เชื้อโรคที่ปนเปื้อน) ไปสู่ผู้ใช้งานคนถัดๆ ไป (หมายความว่า อาจจะมีเหยื่อมากกว่า 1ราย) แม้ว่าเชื้อโรคส่วนมากจะไม่สามารถเจริญเติบโตบนผิวสัมผัสเหล่านี้ได้ แต่เชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่อาจจะยังไม่ตาย เพียงแต่รอเวลาให้ผู้โชคร้ายรายต่อไป รับเอาเชื้อโรคเข้าสู่ทางเดินอาหาร แล้วก่อให้เกิดโรคต่อไป